หลังจาก Toyota GR Supra ได้สร้างปรากฏการณ์สานต่อตำนาน JDM ในเวอร์ชั่นแรกไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงคราวกลับมาสร้างกระแสครั้งใหม่ ด้วยเวอร์ชั่นล่าสุดของ Toyota GR Supra ที่มาพร้อมหัวใจใหม่ จากเดิมพิกัด 3.0 ลิตร ลดลงมาสู่พิกัด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbocharger ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ให้เปี่ยมด้วยความทรงพลัง และเหมาะสมกับบุคลิกของ Toyota GR Supra ในฐานะของยนตรกรรม Sport Car ด้วยพละกำลังสูงสุดที่ 258 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตรที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,500 รอบต่อนาที ไปจนถึง 4,000 รอบต่อนาที
โดยมีระบบส่งกำลังเป็นชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ ZF 8 สปีด พร้อมแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่ให้สามารถส่งต่อกำลังได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเกียร์ต่ำ ซึ่งมีการปรับอัตราให้มีความชิดมากขึ้น พร้อมด้วยฟังค์ชั่นการขับขี่ที่เลือกได้ระหว่าง Normal และ Sport
ทั้งยังสามารถเพิ่มสมรรถนะได้ด้วยชุดเฟืองท้าย Active Differential ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดออพชั่น Sport Pack ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นจากตอบสนองได้อย่างราบรื่นรวดเร็ว ตั้งแต่ 0% ไปจนถึงล็อคเต็มระบบ 100% ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็ว หรือการลดความเร็ว โดยมีสมองกล ECU ทำการตรวจสอบทั้งองศาของพวงมาลัย, การเร่งความเร็ว, การเบรก ไปจนถึงเครื่องยนต์ และความเร็วการหมุนของล้อ เพื่อที่จะสามารถคำนวณแรงบิดระหว่างล้อซ้าย และขวาได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์การขับขี่
นอกจากความดุเดือดของสมรรถนะแล้ว โครงสร้างตัวถังยังได้รับการอัพเกรดขึ้นใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับพละกำลัง ด้วยน้ำหนักของที่เบากว่ารุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร อยู่ราวๆ 100 กม. ตามด้วยขนาดของเครื่องยนต์ที่กะทัดรัดมากกว่า จึงทำให้สามารถวางตำแหน่งอยู่ใกล้กึ่งกลางตัวรถ และส่งผลให้การบาลานซ์น้ำหนักหน้า-หลังอยู่ในอัตราส่วน 50:50 ซึ่งช่วยยกระดับการขับขี่ให้เร้าใจมากขึ้น
ส่วนต่อมาคือเรื่องของระยะความยาว และความกว้างของฐานล้อ ที่ต้องกำหนดเพื่อสร้างความคล่องตัวของรถ โดยความยาวคือ 2,470 มม. และความกว้างของแทรคล้อหลังซึ่งอยู่ที่ 1,589 มม. ต่อเนื่องด้วยระบบช่วงล่างที่ใช้พื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบ 5-Links ซึ่งมีการปรับแต่งขึ้นใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอลูมิเนียยม เพื่อลดน้ำหนัก และสามารถเพิ่มเติมระบบ Adaptive Variable Suspension (AVS) ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดออพชั่น Sport Pack เช่นกัน เพื่อยกระดับการปรับแต่งระบบโช๊คอัพให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยจะทำงานร่วมกับโหมดการขับขี่ 2 โหมด คือ Normal และ Sport
ทางด้านล้อ และยางนั้นมากับขนาดมาตรฐานที่ 18 นิ้ว พร้อมยางออกแบบพิเศษกับ Michelin Pilot Sport ด้านหน้าขนาด 255/40 ZR18 และด้านหลังขนาด 275/40 ZR18 โดยซุกซ่อนระบบเบรกประสิทธิภาพสูงแบบ Single Port จับคู่กับจานเบรกด้านขนาด 348 x 36 มม. และด้านหลังขนาด 345 x 24 มม. ไว้ภายใน ตลอดจนการติดตั้งเบรกมือแบบ Electronic Parking Brake มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงฟังค์ชั่นระบบความปลอดภัยต่างๆ เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบช่วยเบรก Brake Assist, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Vehicle Stability Control, ระบบควบคุมการลื่นไถล Traction Control, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill-Start Assist Control และระบบช่วยควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง Active Cornering Assist
โดย Toyota Supra 2.0L Turbo นั้นประกาศศักดา ด้วยสมรรถนะอันเร้าใจกับอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 5.2 วินาที จากตัวช่วย Launch Control Function ขณะที่ท็อปสปีดสูงสุดนั้นมากับตัวเลขจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
แต่หากใครที่คิดว่าเวอร์ชั่นปกติยังธรรมไป Toyota Supra 2.0L Turbo ยังมีเวอรืชั่นพิเศษให้เลือกเป็นเจ้าของในชื่อ Fuji Speedway Limited Edition ที่โดดเด่นไปอีกขั้น ด้วยตัวถังโทนสีขาว Metallic ตัดกับล้ออัลลอยด์โทนสีดำด้านขนาด 19 นิ้ว และฝาครอบกระจกมองข้างสีแดง โดยมีห้องโดยสารภายในที่มากับการตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ และ Alcantara สีดำ ซึ่งโทนสีดังกล่าว คือ โทนสีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Toyota GAZOO Racing นั่นเอง นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งออพชั่น Connect and Sport Packs มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนจำนวนการผลิตของรุ่นพิเศษ Fuji Speedway Limited Edition จะมีจำกัดไว้เพียงแค่ 200 คันเฉพาะโซนยุโรปเท่านั้น
CR. NetCarShow.com