ถ้าคุณเป็นสาวกแบรนด์ Toyota … ย้อนกลับไปในอดีต การได้ครอบครอง “รถสปอร์ต” ซักรุ่นจากแบรนด์นี้ คงเป็นอะไรที่ “สุดยอด” มากพอ แต่คงไม่ใช่ในยุคปัจจุบัน เพราะจุดสูงสุดของแบรนด์นี้ ต้องยกให้กับการมาถึงของเหล่าตัวแรงนามสกุล “GR” พันธุ์แท้ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน มีผลงานออกมาเพียงไม่กี่รุ่น เช่น Toyota GR Supra, Toyota GR 86 และน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Toyota GR Yaris
โดยจุดเด่นของทั้ง 3 รุ่น นอกจากรูปลักษณ์ที่ถูกปรับ “ดีไซน์” ภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์แล้ว ในส่วนของ “สมรรถะ” ยังถูกอัพเกรดให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ ด้วยเพราะยนตรกรรมที่มากับนามสกุล “GR” พันธุ์แท้ คือ ผลงานจากฝีมือของ “ทีมแข่ง” ในชื่อ Gazoo Racing” อันเป็นที่มาของตัวอักษรย่อ “GR” นั่นเอง
ซึ่งแน่ล่ะว่าด้วย “ดีกรี” ของเหล่า “GR” พันธุ์แท้ คือ สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกต่างก็ถวิลหา รวมถึงสาวกชาวไทยเช่นกัน ด้วยเพราะ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีการนำเข้า “GR” มาจำหน่ายถึง 2 รุ่น คือ Toyota GR Supra และ Toyota GR Yaris แต่ด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะ “ราคา” เลยทำให้การจะมีโอกาสได้ครอบครองจึงถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร
เพราะเหตุนั้น “GR Sport” จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ว่าผ่าน Product Line Up รุ่นมาตรฐาน ซึ่งแม้จะไม่ได้มากับฐานะของ “GR” พันธุ์แท้ทั้ง “รูปลักษณ์ และสมรรถนะ” แบบเต็มเม็ด เต็มหน่วย ด้วยจากประเด็นหลักๆ ของ “GR Sport” จะเป็นการปรับแต่งรูปลักษณ์ แต่เอาจริงๆ ก็นับว่าได้อารมณ์พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรุ่น Corolla Altis GR Sport
สำหรับ Toyota Corolla Altis GR Sport เรียกได้ว่าเป็น “น้องใหม่” ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวราวต้นปีที่ผ่านมา เพื่อเสริมทัพรถยนต์นั่งยอดนิยม โดยวางตำแหน่งให้เป็นรุ่นท็อปสุดของตระกูล Altis ซึ่งในเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ไฮบริด จะมีชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการ คือ Toyota Corolla Altis HEV GR Sport ราคา 1,114,000 บาท เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติ HEV Premium ราคา 994,000 บาท อยู่ที่ราวๆ 120,000 บาท
ส่วนเวอร์ชั่นเครื่องยนต์เบนซิน มากับชื่อรุ่นเป็นทางการ คือ Toyota Corolla Altis 1.8 GR Sport เคาะราคาเอาไว้ที่ 1,059,000 บาท โดยมีส่วนต่างราว 95,000 บาท ที่ขยับขึ้นจากรุ่นมาตรฐาน 1.8 Sport ราคา 964,000 บาท … มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะมีคำถามว่า “ส่วนต่าง” ราคา 95,000 – 120,000 บาท ประกอบด้วยอะไรบ้าง เพื่อสร้างความโดดเด่น และแตกต่าง “ระหว่างรุ่นมาตรฐาน และรุ่น GR Sport” … มาครับ มาดูกัน
ไล่จากภายนอกที่ปลุกเร้าอารมณ์ความสปอร์ต ด้วยดีไซน์ภายนอกใหม่ ประกอบด้วย ชุดกันชนหน้าใหม่ GR Sport, กระจังหน้าใหม่ GR Sport พร้อมไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ ส่วนด้านข้างมากับกระจกมองข้างสีดำ และสเกิร์ตข้าง GR Sport ประกบล้ออัลลอยด์ GR Sport ขนาด 17 นิ้ว ต่อเนื่องด้วยมุมมองด้านรถที่โดดเด่นกับสเกิร์ตหลัง GR Sport และสัญลักษณ์ GR Sport บริเวณฝากระโปรงท้าย
ภายใน Toyota Corolla Altis GR Sport เน้นภาพลักษณ์ใหม่ที่ดูสดใหม่มากขึ้นผ่านดีไซน์สปอร์ตของเบาะหนังคู่หน้า ตกแต่งแถบสีแดง และโลโก้ GR เช่นเดียวกับปุ่ม Push Start ประทับตราสัญลักษณ์ GR ขณะที่ในรุ่น 1.8 GR Sport เพิ่มเติมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัยมาให้
เสริมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานเพื่ออัพเกรดความสะดวกสบาย เช่น หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบเปลี่ยนสีบนกระจกหน้ารถ Head Up Display, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, ระบบกรองอากาศแบบ nanoe เพื่อช่วยขจัดกลิ่นอับ และยับยั้งเชื้อโรค, ม่านบังแดดที่กระจกหลัง Rear Sunshade และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ Auto Rain Sensor
และถ้าหากย้อนนึกไปถึง “ที่มา” ของชื่อ “GR Sport” … คงไม่แปลกที่หลายคนอาจจะ “คาดหวัง” เรื่องสไตล์การตกแต่งที่น่าจะหยิบเอางานมอเตอร์สปอร์ต มาเป็นแรงบันดาลใจมากกว่านี้ เพราะเท่าที่เดินสำรวจอยู่พักใหญ่ เราพบว่างานดีไซน์ของ Altis GR Sport มีส่วนผสมของความหรูอยู่ไม่น้อย ซึ่งคาดเดาว่าน่าจะเป็นเพราะ “ตำแหน่งทางการตลาด” ของ Toyota Corolla Altis ในบ้านเรา ที่ถูกกำหนดให้เป็นรถยนต์นั่ง อันเต็มไปด้วยความสะดวกสบายในการขับขี่ การโดยสารเป็นหลัก จึงทำให้อารมณ์ของภาพรวมมีความ “เป็นกลาง” ระหว่างความสปอร์ต และความพรีเมี่ยม มากกว่าจะโอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง
อีกหนึ่งจุดของ Toyota Corolla Altis GR Sport ที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือการปรับเซ็ทใหม่ของ “ช่วงล่าง” ทั้งในส่วนของโช็คอัพ (Shock Absorber) และคอยล์สปริง (Coil Spring) เสริมด้วยเหล็กกันโคลงหลัง (Rear Bar Stabilizer) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทรงตัว ขณะเดียวกันก็ช่วยดึงขีดความสามารถของโครงสร้างตัวถัง TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่ยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้แสดงออกอย่างเด่นชัดมากขึ้น แม้จะไม่มีการปรับแต่งเพิ่มเติมในส่วนของ “ขุมพลัง” ก็ตาม
โดยเรื่องขุมพลังก็อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่ามีให้เลือก 2 สไตล์ ประกอบด้วย รุ่น HEV GR Sport ซึ่งจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร ที่มี 98 แรงม้า และแรงบิด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสูด 53 แรงม้า และแรงบิด 163 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมจุดเด่นในเรื่องอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่เคลมไว้ถึง 23.3 กม./ลิตร จาก ECO Sticker
และถ้าใครยังคงหลงรักวิถี Old School ก็ยังมีเวอร์ชั่นเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2ZR-FBE ขนาด 1.8 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศให้เลือก ในรุ่นย่อย 1.8 GR Sport กับพละกำลังสูงสุดที่ 140 แรงม้า พร้อมแรงบิด 177 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด พร้อม Sequential Shift
ซึ่งบอกเลยว่าทั้ง 2 รุ่นจะมากับอรรถรสการขับขี่ที่มีความแตกต่างกัน … และที่แน่ๆ ก็คือ สร้างความประทับใจได้ทันทีตั้งแต่แรกสัมผัส แม้จะเป็นเวอร์ชั่นมาตรฐานที่ยังไม่ก้าวข้ามมาถึงขั้น GR Sport ก็ตาม ด้วยผลงานจากการปรับแต่งที่ให้ “รสชาติ” ได้ชัดเจนมากขึ้นกว่ายุคที่ผ่านๆ มา แถมยิ่งถ้าได้มา “ลองของ” กับเจ้าเวอร์ชั่น GR Sport ด้วยล่ะก็ รับรองว่า “เพลิดเพลิน” อย่างแน่นอน เพราะไม่เพียงอัตลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเป็นตัวเองเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงโสตประสาทที่สามารถรับรู้การนำเสนอความสปอร์ตแบบเต็มเม็ด เต็มหน่วย จากทุกการควบคุม อีกด้วย
ฉะนั้นถ้าอ่านมาถึงบรรทัดนี้ โดยหวังให้เราตัดสินชี้ขาดล่ะก็ บอกเลยว่าเป็นเรื่อง “ยาก” และยิ่งเฉพาะในเรื่องความ “คุ้มค่า” เมื่อเทียบส่วนต่าง “ราคา” ระหว่างรุ่นมาตรฐาน และรุ่น GR Sport เพราะสำหรับ “บางคน” ที่มองรถยนต์เป็นแค่พาหนะในการเดินทาง ตัวเลข 95,000 – 120,000 บาท ก็ดูจะเป็นอะไรที่มากมายอยู่ แต่กับ “บางคน” ที่มองว่ารถยนต์เป็นอะไรได้มากกว่าแค่พาหนะ เราคิดว่า “ราคา” นี้ แลกกับการแสดงตัวตนที่ชัดเจนของผู้เป็นเจ้าของไปอีก 5-10 ปี … น่าจะเป็นอะไรที่ “ดีนะ”