Suzuki XL7 ตอกย้ำความเป็น Multi-Dynamic Crossover ที่คุ้มค่า

0

ช่วงปลายไตรมาสแรก บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่งจะเปิดตัว Suzuki XL7 เวอร์ชั่นใหม่ ที่เน้นความสปอร์ต ดุดัน ด้วยสีสันสไตล์ทูโทน ค่าตัว 789,000 บาทไปหมาดๆ … ล่าสุด ต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมาส่ง Suzuki XL7 เวอร์ชั่นใหม่กว่า ออกมาเอาใจผู้บริโภคชาวไทยอีกครั้ง

ซึ่งยังคงชูจุดเด่นในเรื่องของสีสันสไตล์ทูโทนเช่นเดิม เพิ่มเติม คือ 2 ออพชั่นใหม่ ที่ช่วยให้ทุกการใช้งานเป็นเรื่องง่าย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งนั่นคือ แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) และกล้องบันทึกภาพด้านหน้ารถ (Digital VDO Recorder) ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน เพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ในการขับขี่ ช่วยสร้างความมั่นใจได้ดีมากขึ้น

Suzuki XL7

และนอกจาก 2 ออพชั่นใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาให้กับ Suzuki XL7 แล้ว อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ เรื่องของโปรแกรมการทดลองขับ  ซึ่งรอบนี้ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยกทัพขึ้นเหนือสุดแดนสยาม ไปจัดกันถึงจังหวัดเชียงราย … เพราะฉะนั้นถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ งานนี้มีโอกาสได้ทดสอบ “สมรรถนะ” กันมากกว่าที่ผ่านๆ มาแน่นอน ซึ่งก็ไม่ผิดคาดดังที่หวัง เพราะเส้นทางการขับทดสอบรอบนี้ เรามี “ดอยช้าง” เข้ามาเพิ่มความเร้าใจ ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,000 – 1,700 กม. เลยทีเดียว

Suzuki XL7

ส่วนจุดเริ่มต้นนั้นจะอยู่ที่ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น ฝั่งขาเข้าตัวเมือง ซึ่งต้องกลับรถหันหลังให้เมืองเชียงราย วิ่งไปบนถนนพหลโยธินซักระยะ เหมือนการขับขี่แบบใช้งานทั่วไป ก่อนจะเริ่มต้นความสนุก หลังจากเลี้ยวขวาตามป้าย อ. แม่สรวย – เชียงใหม่ ที่เส้นทางส่วนใหญ่เป็นถนน 2 เลนสวน และโค้งกว้างๆ สามารถใช้ความเร็วได้

Suzuki XL7

แน่นอนว่าจุดนี้เราได้สัมผัสถึงคุณสมบัติของแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซูซูกิ ประกอบกับความมีเสถียรภาพของช่วงล่าง ด้านหน้าแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง และด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง กันอย่างเต็มอรรถรส ซึ่งรวมไปถึงความแม่นยำในการตอบสนองของ ระบบพวงมาลัย แร็คแอนด์พิเนี่ยน โดยเฉพาะในส่วนของโค้งกว้างๆ

ตลอดจนการได้ย้ำเตือนถึงศักยภาพของเครื่องยนต์เบนซิน K15B ขนาด 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังโดยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ผ่านช่วงจังหวะการเร่งแซงที่สามารถเลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็นการ Kick Down หรือการกด O/D Off ที่ปุ่มบริเวณหัวเกียร์

Suzuki XL7

ส่วนความเร้าใจแท้จริงรอบนี้ต้องยกให้เส้นทางขึ้น “ดอยช้าง” ที่นอกจากเป็นถนนสวนเลน และมีความแคบแล้ว ยังเพิ่มเติมด้วยองศาความลาดชันเข้าไป จนบางจุดแค่เกียร์ D หรือ O/D Off ถึงกับไม่พอ ต้องขยับลงมาที่ตำแหน่ง 2 หรือ L กัน ตามความเหมาะสมเลยทีเดียว … โดยหลังจากผ่านเส้นทางขึ้นมาถึงจุดแวะพักดื่มกาแฟสบายๆ บนยอดดอยช้างได้สำเร็จ

คำตอบหนึ่งที่เราได้กลับมา ก็คือ ความสามารถของ Suzuki XL7 ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ถือว่า “เพียงพอ” สำหรับการใช้งานทั่วๆ ไป อีกทั้งที่สำคัญเลยก็คือให้ความมั่นใจได้ชัดเจน แม้จะเป็นเส้นทางขึ้นเขาที่มีความลาดชันก็ตาม เพราะยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญอย่าง ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Hold Control)

Suzuki XL7

หลังจากเพลินกับกาแฟหลักร้อย วิวหลักล้านเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินทางกลับเข้าเมืองเชียงรายอีกครั้ง ด้วยเส้นทางลงดอยช้างอีกฝั่ง ที่ลาดชันไม่แพ้ฝั่งขาขึ้น ซึ่งต้องพึ่งเกียร์ 2 และเกียร์ L มาเป็นตัวช่วยสำคัญ เพื่อช่วยลดภาระให้กับระบบเบรก

จนมาถึงช่วงสุดท้ายของเส้นทางลงเขา ก่อนเข้าทางราบ ที่ตอกย้ำความมั่นใจให้สายลุยอีกครั้งด้วยการวิ่งผ่านฝายน้ำล้น บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยส้าน ท้าพิสูจน์ระดับความสูงใต้ท้องรถ 200 มม. ของ Suzuki XL7 ที่สอบผ่านไปได้อย่างสบายๆ ก่อนจะกลับเข้ามาสู่วิถีการขับขี่แบบปกติ มุ่งหน้าไปจบทริปทดลองขับกันที่ร้านอาหารกลางวัน ที่ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงราย

Suzuki XL7

พร้อมบทสรุปของ Suzuki XL7 ที่ชัดเจน และสร้างความมั่นใจได้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของความคุ้มค่าจากฟังค์ชั่นตามสไตล์รุ่นย่อยท็อปสุด เพียงหนึ่งเดียว คือ GLX ซึ่งเพิ่มเติมด้วยอีก 2 ออพชั่นใหม่ ที่แม้จะต้องเพิ่มส่วนต่างราคาอีกเล็กน้อย แต่ก็อุ่นใจภายใต้มาตรฐานโรงงาน

เหนืออื่นใดเลย คือ “สมรรถนะ” ที่ผ่านบทพิสูจน์อย่างชัดเจนบนเส้นทางทดสอบ ซึ่งต้องใช้ระบบส่งกำลังมากกว่าแค่ตำแหน่ง D หรือ O/D Off จนทำให้ได้รู้ว่าศักยภาพของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร นั้นสามารถรองรับการใช้งานได้แบบเหลือเฟือ เพราะขนาดขึ้นดอยช้างยังทำได้ ฉะนั้นกับการใช้งานทั่วไป บอกเลยว่าสบายๆ และมั่นใจได้แน่นอน

Comments are closed.