6.5 ล้านคัน คือ ยอดจำหน่ายทั่วโลกของ Skoda Octavia ที่เกิดขึ้นทั่วโลก นับตั้งแต่การถือกำเนิดของ Skoda Octavia เจนเนอเรชั่นแรกในปี 1959 หรือกว่า 60 ปีมาแล้ว ก่อนการกลับมาเพื่อสานต่อความสำเร็จอีกระลอก ด้วย Skoda Octavia เจนเนอเรชั่นล่าสุดลำดับ 4 ซึ่งพัฒนาต่อยอดเต็มระบบ ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่ใหญ่ขึ้น กับความยาว 4,689 มม. พร้อมความกว้างที่ขยับไปอีก 15 มม. ตามด้วยความอเนกประสงค์จากห้องเก็บสัมภาระขนาด 640 ลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นที่แล้ว 30 ลิตร
งานดีไซน์ของ Octavia ใหม่มากับความเฉียบคมที่เพิ่มขึ้น เช่น มุมมองในด้านหน้า ซึ่งประกอบด้วยชุดไฟหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมชุดไฟ Daytime Running Lights ที่เลือกใช้แบบ LED ทั้งหมด เช่นเดียวกับชุดไฟท้าย, ไฟเบรก ไปจนถึงชุดไฟตัดหมอก อีกทั้งงานออกแบบใหม่ยังรวมถึงชุดราวแร็คหลังคาที่ดูลงตัวมากขึ้น เสริมด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 19 นิ้ว
ห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่ เสริมความน่าสนใจด้วยรายละเอีดยการตกแต่งจากวัสดุอลูมิเนียมทั้งบนคอนโซลหน้า, แผงประตู และมือจับเปิดประตู ผสมผสานด้วยการเลือกใช้วัสดุ Soft-Touch ที่น่าสัมผัสมายกระดับความหรูหรา ขณะที่ออพชั่นต่างๆ ประกอบด้วยชุดพวงมาลัยแบบ 2 ก้าน ที่สามารถเพิ่มเติมออพชั่นระบบทำความร้อนได้ หรือจะเลือกเพิ่มความสะดวกสบายด้วยชุดพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น ซึ่งมาพร้อมปุ่มควบคุมแบบใหม่ รองรับการทำงานได้ถึง 14 ฟังค์ชั่น โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
ในส่วนของแผงแดชบอร์ดดีไซน์ใหม่ มากับระบบความบันเทิงเจนเนอเรชั่นล่าสุดที่เลือกได้ถึง 4 รูปแบบขนาดหน้าจอตั้งแต่ 8.25 นิ้ว ไปจนถึง 10 นิ้ว โดยสำหรับรุ่นท็อปจะได้รับการติดตั้งหน้าจอ Columbus Infotainment System เจนเนอเรชั่นล่าสุดเป็นครั้งแรกขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับระบบปรับอากาศที่เป็นแบบ Tri-zone Climatronic อีกทั้งยังมีกระจกบังลมหน้า และด้านข้างแบบ Acoustic ที่พัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร
ขุมพลังของ Skoda Octavia ก็ได้รับพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นทั้งเครื่องยนต์เบนซิน TSI และเครื่องยนต์ TDI เช่นกัน แต่ไฮไลต์สำคัญกลับอยู่ที่ขุมพลังเวอร์ชั่นอื่นๆ เช่น การเปิดตัวรุ่น Plug-in Hybrid เป็นครั้งแรกในรุ่น Octavia ซึ่งใช้การผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน TSI พิกัด 1.4 ลิตร TSI พละกำลัง 156 แรงม้า เสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 75 กิโลวัตต์ รวมพลังกันได้สูงสุดที่ 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด DSG
ตามมาด้วยเวอร์ชั่น Mild Hybrid Technology เครื่องยนต์ eTEC ซึ่งมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ เครื่องยนต์เบนซิน TSI พิกัด 1.0 ลิตร 3 สูบ 110 แรงม้า และพิกัด 1.5 ลิตร 4 สูบ แรงม้า โดยทั้ง 2 รุ่นจะมากับพลังสำรองขนาด 48 โวลต์จากแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า
ทั้งยังมีเวอร์ชั่นขุมพลังจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG ในชื่อ G-TEC ที่มากับจุดเด่น เรื่องระยะทางการวิ่งที่สามารถทำได้ไกลกว่า 523 กม. ต่อก๊าซ 1 ถังขนาด 17.7 กก. จากพื้นฐานเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร TSI เรี่ยวแรง 130 แรงม้า แถมยังมีการติดตั้งถังน้ำมันเชื้อเพลิงมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีก 9 ลิตร ที่ทำระยะได้อีกราวๆ 278 กม. และทำให้โดยรวมแล้ว Octavia G-TEC สามารถวิ่งได้กว่า 800 กม. โดยไม่ต้องหยุดแวะเติมเชื้อเพลิงเลยทีเดียว
CR.NetCarShow.com