Seat Leon Sportstourer คือ อีกหนึ่งสายพันธ์ของอนุกรม The all-new SEAT Leon ในเรือนร่างของรถอเนกประสงค์ ที่วิวัฒนาการมาจากเวอร์ชั่น 5 ประตูสู่รุ่น Sportstourer ซึ่งมีความชัดเจนในเรื่องมิติตัวถัง กับความยาวที่ 4,642 มม. หรือยาวขึ้นจากเวอร์ชั่น 5 ประตูถึง 93 มม. ส่วนความสูงนั้นลดลง 3 มม. อยู่ที่ 1,448 มม. ขณะที่ความกว้างนั้นมากับการลดลง 16 มม. อยู่ที่ 1,800 มม. วางตัวบนระยะความยาวฐานล้อ 2,686 มม. หรือเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นที่ 3 ถึง 50 มม. เพื่อยกระดับความกว้างขวางที่มากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของผู้โดยสารด้านหลัง
โดย The all-new SEAT Leon มากับรูปลักษณ์ที่เร้าใจมากขึ้น ด้วยการนำเสนอความแข็งแกร่งผ่านเส้นสายการออกแบบ ที่ช่วยให้มีคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ดีขึ้นอีกราว 8% เมื่อเทียบกับเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมา เช่น ในมุมมองด้านหน้าที่ดุดันด้วยชุดกระจังหน้าแบบ 3 มิติ เชื่อมต่ออย่างลงตัวกับชุดโคมไฟหน้าแบบ LED รับกับฝากระโปรงหน้าของตัวรถที่ออกแบบให้เฉียบคม และยาวขึ้นกว่ารุ่นที่ผ่านมา จากการขยับตำแหน่งของเสา A-Pillar ไปด้านในตัวรถมากขึ้น ส่วนด้านหลังมากับความโดดเด่นจากชุดไฟท้ายแบบ LED ที่ออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวนอนยาวตลอดความกว้างของตัวรถ เสริมด้วยชุดสปอยเลอร์หลังคา และชุดท่อไอเสียคู่ทรงเหลี่ยวซ้าย-ขวา
ภายในห้องโดยสารยังคงได้รับการออกแบบด้วยแนวทางเดียวกับภายนอก และผสมผสานด้วยการวางตำแหน่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเป็นจุดศูนย์กลาง ภายใต้ความเรียบง่ายในการดีไซน์ตำแหน่งปุ่มฟังค์ชั่นการใช้งานต่างๆ ตามหลักสรีรศาสตร์ โดยการตกแต่ง ตลอดจนออพชั่นต่างๆ นั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อยที่มีให้เลือก คือ Reference, Style, Xcellence และ FR ซึ่งทุกรุ่นจะยังคงมาพร้อมความอเนกประสงค์ในการใช้งานด้วยห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่มีขนาดถึง 620 ลิตร ซึ่งมากกว่าเจนอเนอรชั่นที่แล้วถึง 30 ลิตร
สำหรับขุมพลังนั้นยังคงใช้บล็อคเดียวกันกับ The all-new SEAT Leon เจนเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งจะมีให้ถึง 5 ทางเลือก โดยเริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน TSI ที่นำมาใช้กับ SEAT Leon เป็นครั้งแรก คือ แบบ 3 สูบ พิกัด 1.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จ และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงโดยตรงแบบ Direct Injection กับ 2 ทางเลือกเรี่ยวแรง คือ 90 แรงม้า และ 110 แรงม้า โดยขยับขึ้นมาจะเป็นพิกัด 1.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ แต่มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นให้เลือก 2 รุ่น คือ 130 แรงม้า และ 150 แรงม้า ทั้งยังมาพร้อมระบบ Active Cylinder Management ซึ่งจะทำหน้าที่ตัดการทำงานให้เหลือเพียง 2 ลูกสูบเพื่อสร้างอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น และสุดท้ายในอนุกรมเครื่องยนต์เบนซินกับพิกัด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ที่มีกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ Dual-Clutch
ด้านฝั่งเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ มากับขุมพลังพิกัด 2.0 ลิตร TDI พร้อมเรี่ยวแรง 2 สไตล์ให้เลือก คือ 115 แรงม้า และมากับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา ขณะที่รุ่น 150 แรงม้า จะมีทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ DSG ที่มีเวอร์ชั่นระบบขับเคลื่อน 4Drive System ให้เลือก
ในส่วนของขุมพลังรักษ์โลกนั้นเริ่มต้นด้วยเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG ที่มากับเครื่องยนต์พิกัด 1.5 ลิตร TGI ให้เรี่ยวแรงสูงสุด 130 แรงม้า โดยจะมากับเกียร์อัตโนมัติ DSG พร้อถังเชื้อเพลิง 3 ถังความจุรวมกันที่ 17.3 กก. และสามารถวิ่งทำระยะสูงสุดได้ถึง 440 กม.
เวอร์ชั่นต่อมาเป็นแบบ Mild Hybrid Technology (eTSI) จากขุมพลัง 2 บล็อกด้วยกัน คือ 1.0 ลิตร เรี่ยวแรง 110 แรงม้า และ 1.5 ลิตร เรี่ยวแรง 150 แรงม้า ซึ่งทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG พร้อมระบบไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และระบบ Starter-Generator
ปิดท้ายด้วยเวอร์ชั่น Plug-in Hybrid โดยมีเครื่องยนต์เบนซิน TSI พิกัด 1.4 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่รับพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 13 กิโลวัตต์ ซึ่งให้พละกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตมัติ DSG 6 สปีด ซึ่งสามารถขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ถึง 60 กม.
CR.NetCarShow.com