การเปิดเผยข้อมูลล่าสุด Range Rover Velar เวอร์ชั่นปี 2024 คือ สิ่งที่สร้างการยอมรับว่านี่คือหนึ่งใน SUV ที่มีสไตล์ที่สุดคันหนึ่ง ด้วยเพราะ Designers ของ Land Rover ยังคงรักษา “อัตลักษณ์” ดั้งเดิมเอาไว้ โดยไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องของการปรับเปลี่ยนงานออกแบบมากเกินไป หากเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนปรับโฉมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับยนตรกรรมระดับ Luxury ส่วนใหญ่
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงภายนอกมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย เน้นความเรียบง่าย เช่น ชุดไฟหน้าดีไซน์แบบ Jewel มาพร้อม Daytime Running Lights และกระจังหน้าที่ออกแบบใหม่ เช่นเดียวกับ ชุดกันชนท้าย ส่วนจุดใหญ่ๆ ของการอัพเกรด คือ ภายในห้องโดยสารที่เน้นความสะดวกสบายจากออพชั่นสุดล้ำ ตั้งแต่ หน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาด 11.4 นิ้ว ดีไซน์แบบ “ลอยตัว” (Floating) พร้อม “ฮาร์ดแวร์” Pivi Pro ที่ใช้งาน และเข้าถึงได้ง่าย แบบเดียวกับ Range Rover และ Range Rover Sport รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay รวมถึงสามารถอัพเดตโปรแกรมได้ด้วยตัวเองแบบ Over-the-Air ผ่าน Wireless
ทั้งยังติดตั้งระบบ Wireless Charging มาให้ในบริเวณกล่องเก็บของคอนโซลกลาง และที่สำคัญการอัพเดตโปรแกรมแบบ Over-the-Air ยังทำงานร่วมกับระบบนำทาง Navigation และการคำนวนจากค่าแสดงผลต่างๆ บนชุดมาตรวัด เพื่อควบคุมระบบส่งกำลัง และช่วงล่าง ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางการขับขี่ได้อีกด้วย
ด้านขุมพลังของ Range Rover Velar ยังไม่มีการเผยรายละเอียดการอัพเดต ทำให้เวอร์ชั่นจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ยังคงใช้พื้นฐานรหัส P250 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Turbocharged มีกำลังอยู่ที่ 247 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ 365 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel-Drive
ขยับขึ้นมาจะเป็นรหัส P400 ที่มีเครื่องยนต์ใหญ่ขึ้นเป็น 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมระบบ Mild Hybrid ขนาด 48 โวลต์ ให้กำลังสูงสุด 395 แรงม้า และมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตันเมตร ส่วนระบบส่งกำลังยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนที่ยังเป็นแบบ 4 ล้อ All-Wheel-Drive
แต่เวอร์ชั่นจำหน่ายในยุโรปจะมีจะรหัส P400e ขุมพลัง Plug-in Hybrid เข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยมีจุดเด่น คือ แบตเตอรี่มีการอัพเกรดให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 13.6 กิโลวัตต์เป็น 19.2 กิโลวัตต์ ทำให้สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึงราว 40 ไมล์ หรือราวๆ 65 กม. รวมถึงรองรับกระแสไฟฟ้าในการชาร์จได้มากขึ้นเป็น 50 กิโลวัตต์อีกด้วย
ท้ายสุดกับขุมพลังดีเซล เทอร์โบ แม้จะไม่มีรายละเอียดใดๆ แต่ก็มีข่าวว่าจะเข็นออกมาทำตลาด 2 รุ่น คือ รหัส D200 เครื่องยนต์ 4 สูบ และรหัส D300 เครื่องยนต์ 6 สูบ