เราเชื่อว่าหลายคนคงไม่อาจปฏิเสธว่าการมาถึงของ Toyota C-HR ในกลุ่มตลาดรถอเนกประสงค์ Sub-Compact SUV นั้นแสดงถึง “วิสัยทัศน์” ที่ยอดเยี่ยมของ “โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย”ตั้งแต่ในเรื่องของงานดีไซน์สุดล้ำที่เรียกได้ว่า “ฉีกกรอบ” รวมไปถึงการนำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อช่วยยกระดับการขับขี่ ไปพร้อมๆ กับสร้างอรรถรสที่แตกต่าง จากความคุ้นเคยเดิมๆ ในอดีตที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง … ชนิดที่ว่าถ้าต้องจ่าย “แพงกว่า” เมื่อเทียบกับแบรนด์สัญชาติเดียวกัน ยังถือเป็นเรื่อง “น่ายินดี”
- จำได้ว่าตอนเปิดตัวครั้งแรกเรียกเสียงตอบรับจากคนไทยได้อย่างดี ด้วยดีไซน์ที่แปลกใหม่ และดูลงตัวทุกมุมมองจน “ไร้ที่ติ” ยิ่งค่าตัวสำหรับคนที่มองหาเทคโนโลยี Hybrid ให้ซื้อหามาใช้ง่ายได้ถูกลง และช่วยให้สมรรถนะความประหยัดเหนือชั้นกว่าคู่แข่ง
- ความเป็นเอสยูวีที่อัพเกรดจากพื้นฐานรถยนต์ซีดานให้มีตัวถังที่สูงขึ้นเหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย ที่ต้องเจอหลุม หรือรอยต่อถนน แม้แต่ทางลูกรัง โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมขัง ตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่า
แต่ในความเป็นจริง คือ “เปล่า” เพราะ Toyota C-HR เปิดตัวมาด้วยราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 7 หลัก และไปสุดเพดานที่ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท หรือพูดง่ายๆ ว่าในระดับที่ “เทียบเท่า” กับคู่แข่ง โดยหากไล่รวมไปอีกนิด ถึงงานดีไซน์ และเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Toyota C-HR จะแทรกซึมเข้ามาเป็นตัวเลือก “เบอร์ต้น” ของผู้บริโภคชาวไทย เมื่อต้องการเป็นเจ้าของรถอเนกประสงค์ Sub-Compact SUV ซักคัน
จากเวอร์ชั่นแรกที่เปิดตัวในเมืองไทยเมื่อไตรมาสแรกของปี 2561 ซึ่งสร้างกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ได้นำมาสู่การปรับปรุงครั้งใหม่ ใน New Toyota C-HR 2021 เวอร์ชั่นล่าสุด เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยสัมผัสได้ถึงความ “คุ้มค่า” มากขึ้น โดยเฉพาะกับรุ่น HV Premium Safety ที่อัพเกรดความครบครันมาให้ใหม่ในราคาเพียง 1,139,000 บาท
- หลังคาแบบทูโทนแสดงความเป็นรุ่นใหม่ของปี 2021 กับออบชั่นที่เต็มมากขึ้น โดดเด่นไปอีกแบบ
โดยในครั้งนี้ New Toyota C-HR 2021 มีการเพิ่มความโดดเด่นให้กับงานดีไซน์ภายนอกให้สะดุดตาขึ้นไปอีกขั้น ด้วยสไตล์สีแบบทูโทน เพื่อเพิ่มเติมความสดใหม่ เช่น ตัวถังสีดำ Attitude Black Mica จับคู่กับหลังคาใหม่สีเงิน Silver Roof หรือจะเลือกครอบครองความใหม่ทั้งคัน ตั้งแต่ ตัวถังสีน้ำเงิน Nebula Blue ที่ลงตัวกับหลังคาใหม่สีเงิน Silver Roof ก็ได้ แต่ถ้าหากหลังคาสีดำ Black Roof คือ คำตอบที่ “ใช่” นอกสีตัวถังเดิมอย่าง สีแดง Premium Red และสีเงิน Metal Stream Metallic ก็ยังมีสีใหม่เป็นสีขาวมุก Platinum White Pearl ให้เลือกจับคู่อีกด้วยเช่นกัน
- โทนสีภายในตรงกับรสนิยมคนไทย บางค่ายไม่ชอบเล่นสีดำเพราะจะทำให้ภายในดูแคบ แต่ในความเป็นจริงสีดำแสดงออกถึงความเท่ห์ ความสปอร์ต ทั้งในชีวิตจริงรถยนต์ในกลุ่มนี้มักจะเป็นลูกค้าที่มีสมาชิกหลายคน “กลุ่มครอบครัว”มันช่วยให้หมดความกังวลเรื่องภายในเป็นรอยง่ายไปได้
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะเวอร์ชั่นปรังปรุงใหม่ New Toyota C-HR 2021 ยังได้เพิ่มเติม “ของใหม่” ของเข้ามาเสริมทัพมาตรฐานระบบความปลอดภัยระดับโลก Toyota Safety Sense เพื่อทำงานร่วมกับฟังค์ชั่นล้ำๆ ทั้งระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-Collision System, ระบบเตือนเมื่ออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ Lane Departure Alert with Steering Assist และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beams ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้ดีมากขึ้น โดย “ของใหม่” ที่ว่าก็คือ “ระบบควบคุม และปรับลดระดับความเร็ว All-speed Dynamic Radar Cruise Control ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถลดระดับความเร็วได้ถึง 0 กม./ชม. และเร่งความเร็วกลับสู่ระดับเดิมได้ เมื่อไม่มีรถขวางหน้า”
และที่กล่าวมา คือ สิ่งที่ต่อยอดในเรื่องของความ “คุ้มค่า” อย่างชัดเจน บน “คุณภาพ” แห่งการขับขี่ของ New Toyota C-HR 2021 ที่ประกอบด้วยพื้นฐานอย่างสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) และการขับเคลื่อนโดยระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 (4th Generation Hybrid) ซึ่งเกิดจากเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson Cycle รหัส 2ZR-FXE แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมระบบ VVT-i ในพิกัด 1.8 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 98 แรงม้า พร้อมแรงบิด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 53 แรงม้า พร้อมแรงบิด 163 นิวตันเมตร
- ในด้านการขับขี่ รถยนต์รุ่นนี้ขับสนุกมาก ทั้งอัตราเร่ง และการบังคับควมคุม ผลพวงจากพื้นฐานการออกแบบที่ดี กลายเป็นสัญลักษณ์ของรถโตโยต้ายุคใหม่ที่สานต่อ TNGA ออกมาอีกหลายรุ่น ช่วงล่างดี นุ่มหนึบ มั่นใจได้ คุณสามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่ได้ทุกวัน
New Toyota C-HR 2021 ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock และโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ EV Mode, Sport Mode และ Eco Mode รองรับด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone) พร้อมเหล็กกันโคลง ไปจนถึงการสร้างความมั่นใจผ่านการควบคุมโดยพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS และระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ที่มาพร้อมจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนในด้านหน้า
ทั้งหมด คือ ส่วนประกอบที่สร้างภาพรวมอันน่าประทับใจให้ New Toyota C-HR 2021 ไล่เรียงตั้งแต่โทนสีใหม่ให้เลือกสร้างตัวตนที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ไปจนถึงออพชั่นระบบความปลอดภัยใหม่ ที่ต่อยอดให้กับองค์ประกอบหลายส่วน เช่น ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ปลอดโปร่งจากความเป็นยนตรกรรม Sub-Compact SUV ภายใต้โครงสร้างตัวถัง TNGA ที่คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความกระชับคล่องตัว บนความหนักแน่น แต่นุ่มนวลของช่วงล่าง ที่ลงตัวทั้งอารมณ์สปอร์ต และความเป็นรถครอบครัว ตลอดจนพละกำลังที่ตอบสนองได้อย่างเหมาะสมกับการใช้งาน ควบคู่ไปกับความประหยัด ซึ่งการันตีด้วย Eco Sticker เอาไว้ถึง 24.4 กม./ลิตร
- พื้นที่เก็บสัมภาระไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก ดังนั้นถ้าคุณเป็นสายเดินทางที่ต้องมีกระเป๋าเยอะ ต้องบริหารจัดการดีๆ อย่าลืมว่ามันเป็นรถยนต์คอมแพ็คถ้าจะเอาใหญ่กว่านี้ “ราคา” คงโดดไปมาก
ขนาดที่ว่ายังไม่รวมถึงเรื่องของอรรถประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบายจากออพชั่นระดับไฮไลต์ต่างๆ ของ New Toyota C-HR 2021 ไม่ว่าจะเป็น เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ต พร้อมปุ่มปรับดันหลังด้านคนขับ (Lumbar Support), พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay พร้อมเทคโนโลยีเชื่อมการขับเคลื่อนแห่งอนาคต T-Connect by TOYOTA เจเนอเรชั่นที่ 2 และช่องเชื่อมต่อ USB / Bluetooth, ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake), ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ (Auto Brake Hold) หรือแม้กระทั่งระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ที่มากับการกรองอากาศแบบ nanoe ก็จัดมาให้
- Apple Car Play ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ครบเครื่องทั้งการโทร ระบบแผนที่นำทาง การฟังเพลงสตรีมมิ่ง หรือแม้แต่การหาศูนย์โตโยต้าใกล้คุณที่พร้อมให้การช่วยเหลือ หมดยุคซื้อรถมาแล้วเปลี่ยนระบบเครื่องเสียง เอาเงินไปเปลี่ยนโทรศัพท์ดีกว่า!
ไหนจะอีกมากมายออพชั่นมาตรฐานที่ “สมฐานะรุ่นท็อป New Toyota C-HR 2021 HV Premium Safety” ซึ่งเราแนะนำว่าให้ลองเปิดแคตตาล็อคไล่เรียงดูจะง่ายกว่า และเห็นภาพชัดกว่า ถึงความ “คุ้มค่า” ที่ “โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย” พยายามนำเสนอผ่าน New Toyota C-HR 2021 รุ่นปรับปรุงใหม่ โดยก่อนจะจากกันไปเราขอย้ำชัดๆ อีกครั้งว่าทั้งหมด ทั้งมวล อยู่ภายใต้ค่าตัวเพียง 1,139,000 บาท เท่านั้นนะครับ
