MG HS PHEV เตรียมพร้อม เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Pure EV

0

ถ้า MG EP รถอเนกประสงค์พลังไฟฟ้า 100% คือ สิ่งที่ดู “ยัง” เป็นเรื่อง “ไกลตัว” จนต้องพับเก็บใส่กระเป๋าไว้ แต่ขณะเดียวกันก็ “ยัง” ตั้งเป้าโจทย์ที่ต้องการ คือ“รถอเนกประสงค์พลังงานทางเลือกในงบที่ไม่บานปลาย” ล่ะก็ … ลองเก็บ MG HS PHEV ไว้พิจารณาดู

MG HS PHEV มากับฐานะของรถอเนกประสงค์ SUV บนพื้นฐานเดียวกันกับ MG HS ที่ใส่ความแตกต่างในเข้าไปในรายละเอียดทางกายภาพ เพื่อแสดงจุดยืนความเป็นยนตรกรรม Hybrid ผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของ MG HS เช่น กระจังหน้าแบบ Stellar Magnetic Field เติมสดด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่สไตล์ Thunder Wing Bladeขนาด 18 นิ้ว

พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ยังครบเครื่อง ไล่มาตั้งแต่ ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ และไฟ Daytime Running Lights ส่วนด้านหลังมากับไฟท้ายแบบ LED Space Light Field รวมไปถึงการใช้ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่สะดุดตาด้วยการแสดงผลแบบไล่ระดับทั้งด้านหน้า และด้านหลัง

สำหรับภายในห้องโดยสารสร้างจุดเด่นด้วยโทนสีสไตล์ทูโทน และการใช้วัสดุแบบ Soft Touch ขณะที่จุดดึงดูดความน่าสนใจต้องยกให้กับบรรดา “ออพชั่น” ที่จัดมาให้แบบท่วมท้น ชนิดที่ทำผู้บริโภคเซ็นต์ใบจองโดยไม่ต้องคิดมาก ซึ่งหลักๆ ก็เช่น กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start, เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat พร้อมระบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางฝั่งคนขับ และ 4 ทิศทางฝั่งผู้โดยสาร

หลังคา Panoramic Sunroof ที่เปิดกว้างได้เกือบเต็มพื้นที่เหนือศรีษะ, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว, หน้าจอความบันเทิงแบบ Touch Screen ขนาด 10 นิ้ว ที่มากับเครื่องเสียง BOSE 8.1 Sound System, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกฝั่ง Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ไปจนถึงระบบกรองอากาศ PM 2.5 และฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า ขาดไม่ได้เลยก็คือ “พระเอก” ของงานอย่าง ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ซึ่งใช้เทคโนโลยี AI คอยควบคุม และช่วยเหลือผู้ขับขี่ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับรถเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งจากการสั่งงานผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทย และจากสมาร์ทโฟน

แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะวิวัฒนาการแท้จริงของ MG HS PHEV ก็คือการต่อยอดขึ้นไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid จาก 2 แหล่งพลังขับเคลื่อน ซึ่งประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร 162 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor พละกำลัง 122 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ที่รับพลังงานมาจากแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ที่มีขนาดใหญ่ถึง 16.6 กิโลวัตต์ ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพในการสะสมพลังงานได้มากกว่า จนสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้นาน และเป็นระยะทางมากขึ้นถึง 67 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ทั้งยังเสริมด้วยการติดตั้งระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถเลือกชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่ (Regenerative) ได้ถึง 3 ระดับอีกด้วย

และจากทั้ง 2 แหล่งที่มา ทำให้ MG HS PHEV มีพละกำลังรวมสูงสุดที่ 284 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน โดยมีหน้าที่ส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด EDU II ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่ให้เปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วขึ้น โดยจะมาพร้อมรูปแบบการขับขี่ให้เลือก 5 โหมด คือ Normal, Eco, EV, Sport และ Super Sport ซึ่งเคลมอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ไว้ที่เวลาเพียง 7.5 วินาที เรียกได้ว่าเป็นตัวเลขที่ “น่าดูชม” ทีเดียว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในเรือนร่างของรถอเนกประสงค์ SUV ที่มีน้ำหนักตัวเกือบๆ 1.8 ตัน (1,775 กก.)

ว่ากันด้วยเรื่องของการทดลองขับเอาแบบ “ตาสีตาสา” ที่ไม่ต้องเลือกโหมดใดๆ นอกจาก Auto โดยคนขับทำหน้าที่แค่สตาร์ทเครื่อง, เปลี่ยนเกียร์ จากนั้นก็ควบคุมพวงมาลัย, คันเร่ง และเบรกเท่านั้น ส่วนหน้าที่บริการจัดการพลังงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า เรายกให้เป็นหน้าที่ของ MG HS PHEV เป็นผู้ตัดสินใจ

แต่ก็แอบช่วยเล็กน้อย ด้วยการใช้น้ำหนักเท้าขวาแบบเนียนๆ จนทำให้พอเดาได้ว่า ถ้า “เนียนพอ” ด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. หน้าที่การขับเคลื่อนทั้งหมดจะเป็นพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ หากมีปริมาณแบตเตอรี่มากพอ แต่ถ้าอยากสนุกสนาน โดยไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการแบตหมดกลางทาง และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น การขับขี่ด้วยโหมด Auto ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ “ดีงาม”

และจะ “ดีงาม” มากขึ้นไปอีกขั้น ในเรื่องของความประหยัดน้ำมัน เมื่อการขับขี่ด้วย EV Mode ที่ไม่มีเครื่องยนต์จะเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเค้าเคลมว่าทำระยะได้ถึงราวๆ 67 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถไปไหนก็ได้ จากจุดเริ่มต้น จนกระทั่งจบภาระกิจ โดยไม่ต้องใช้น้ำมันกันเลยทีเดียว แถมอัตราเร่งก็จัดมาให้เต็มเม็ด เต็มหน่วย ตามนิสัยของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องรอรอบ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยปริมาณของแบตเตอรี่ที่ใช้จ่ายออกไปตามน้ำหนักเท้า

ส่วนโหมด Sport และ Super Sport นั้นก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะเน้นเรื่องของการตอบสนองที่เร้าใจเป็นหลัก ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ “ตัดแล้วซึ่งความประหยัด” และคงไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของ MG HS PHEV เท่าไหร่ เลยเลือก “ละไว้ในฐานที่เข้าใจ” เพราะด้วยตรรกกะความเป็นรถอเนกประสงค์ Plug-in Hybrid ที่เน้นอรรถประโยชน์ใช้สอย ควบคู่ไปกับความประหยัด คือ สิ่งที่ทำให้เราคิดว่า EV Mode และ Auto Mode น่าจะเป็นอะไรที่ได้รับความนิยมกว่า ก็เลยเลือกที่จะซึมซับจากทั้ง 2 โหมดเป็นหลัก จนได้ข้อสรุปว่า

MG HS PHEV เป็นรถอเนกประสงค์ SUV แบบ Plug-in Hybrid ที่มากับ “ออพชั่น แน่นจนจุก” พร้อมการยกระดับ “สมรรถนะ” ให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น เพื่อการตอบโจทย์ที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคให้ “กว้างขึ้น” ทั้งสายขุมพลังสันดาปภายใน และพลังงานทางเลือก ภายใต้เพดาน “ราคา” ที่บอกเลยว่า “รู้แล้วจะหนาว”

MG HS PHEV ราคาจำหน่าย  1,359,000 บาท มาพร้อมการรับประกันที่ทำให้ทุกท่านมีความอุ่นใจตลอดการใช้งาน

  • การรับประกันแบตเตอรี่ในระบบ PHEV แบบไม่จำกัดระยะทาง ตลอดระยะเวลา 8 ปี
  • การรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 4 ปี หรือ 120,000 กม.

 

CR : Photo MG Thailand

Comments are closed.