ในที่สุดเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Mercedes-Benz C-Class ก็ถูกเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการโดยมีให้เลือกทั้งเวอร์ชั่น Sedan และ Estate ซึ่งนำสสนอความน่าสนใจผ่านงานดีไซน์ที่มีความประณีต โดยเฉพาะในเวอร์ชั่น Estate ที่มากับ ใน Mercedes-Benz C-Class Estate เส้นหลังคาแบบ Progressive รับกับหน้าต่างด้านหลังที่ออกแบบให้มีองศาลาดเอียง เพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ตมากขึ้น เช่นเดียวกับล้ออัลลอยด์ที่มีให้เลือก ตั้งแต่ขนาด 17 – 19 นิ้ว, รวมไปถึงชุดกระจังหน้าที่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ตามแต่ละรุ่นย่อย ขณะที่ด้านหลังมากับความสะดุดตาจากงานออกแบบชุดไฟท้ายที่เลือกใช้แบบ 2 ชิ้นเป็นครั้งแรก
ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหรามากขึ้น ด้วยงานดีไซน์ แฝงด้วยความสปอร์ตจากองศาของคอนโซลหน้าที่หันเอียงชุดหน้าจอมาตรวัด Driver Display แบบ LCD ที่มีทั้งขนาด 10.25 นิ้ว และออพชั่นขนาด 12.3 นิ้ว ตลอดจนหน้าจอแสดง Infotainment ขนาดมาตรฐาน 9.5 นิ้ว และออพชั่นขนาด 11.9 นิ้ว เข้าหาผู้ขับขี่ ซึ่งหน้าจอทั้ง 2 ชุดนั้นสามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การแสดงผลได้ 3 รูปแบบ คือ Discreet, Sporty และ Classic
Mercedes-Benz C-Class เจนเนอเรชั่นใหม่ มากับทางเลือกเครื่องยนต์พื้นฐาน 4 สูบทั้งแบบดีเซล และเบนซิน เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ Turbocharging เสริมด้วยเทคโนโลยี Mild Hybrid และระบบ ISG (Integrated Starter-Generator) ขนาด 48 โวลต์ เจนเนอเรชั่นที่ 2 ตลอดจนจับคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-Tronic)
โดยมีรายละเอียดขุมพลังที่ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งเริ่มต้นด้วยความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลัง 170 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร โดยขยับขึ้นมาจะเป็นเวอร์ชั่นเรี่ยวแรงระดับ 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 300 นิวตันเมตร และทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์จะมากับฟังค์ชั่น Overboost ที่ช่วยเพิ่มเติมพละกำลังได้อีก 15 กิโลวัตต์ หรือราวๆ 20 แรงม้า โดยมีไฮไลต์ฝั่งเครื่องยนต์เบนซินเป็นเครื่องยนต์บล็อคใหญ่สุดในพิกัด 2.0 ลิตร ที่มีกำลังสูงถึง 258 แรงม้า
ส่วนทางฝั่งเครื่องยนต์ดีเซลจะมากับพิกัดเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ที่มีกำลังให้ใช้ระดับ 200 แรงม้า พร้อมแรงบิด 440 นิวตันเมตร ก่อนปิดท้ายด้วยเวอร์ชั่นแรงสุดกับเรี่ยวแรง 265 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร ซึ่งทุกรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลจะมาพร้อมกับพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเติมราว 20 แรงม้าเช่นกัน
อีกทั้งยังได้ยกระดับการขับขี่ ด้วยระบบช่วงล่างใหม่แบบ Adaptive Dynamic พร้อมด้วยฟังค์ชั่นระบบเลี้ยวล้อหลัง Rear-Axle Steering ในฐานะออพชั่นเสริม ซึ่งช่วยให้ล้อคู่หลังสามารถหมุนได้มากสุด 2.5 องศา และลดวงเลี้ยวให้แคบลงถึง 43 ซม. ที่ความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม.
รวมไปถึงระบบความปลอดภัยที่ยังคงครบครัน พร้อมด้วยการนำเสนอฟังค์ชั่นใหม่ล่าสุด เช่นระบบ Digital Light, ระบบ Active Distance Assist DISTRONIC ที่เพิ่มความสามารถในการตรวจจับรถหยุดนิ่งเบื้องหน้าได้ถึงระดับความเร็วสูงสุด 100 กม./ชม , ระบบ Active Steering Assist ที่จะช่วยควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่กลางเลนแม้จะใช้ความเร็วสูง ไปจนถึงระบบอ่านป้ายจราจร Traffic Sign Assist ที่สามารถอ่านป้ายเตือนที่ระบุข้อความแบบเฉพาะเจาะจง ได้มากขึ้น
CR.NetCarShow.com