Ford เอาใจสาวกรถเล็กสมรรถนะสูง เปิดตัวยนตรกรรมเวอร์ชั่นพิเศษรุ่น Fiesta ST Edition ที่มาพร้อมความทรงคุณค่าด้วยจำนวนจำกัด คือ 300 คันในอังกฤษและ 500 คันในยุโรปเท่านั้นส่วนความโดดเด่นที่จัดมาให้ เริ่มต้นตั้งแต่รูปลักษณ์ที่ดุดันด้วยโทนสีฟ้าพิเศษ Azura Blue ตัดกับรายละเอียดภายนอกโทนสีดำเงา High Gloss Black ที่จะประกอบด้วย ส่วนบนของชุดกระจังหน้า, กรอบไฟตัดหมอก, กรอบกระจกมองข้าง, ชุด Diffuser กันชนหลัง ไปจนถึงในส่วนของแผ่นหลังคา และสปอยเลอร์หลังคา ตลอดจนล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้วที่ออกแบบใหม่ให้เบาลงกว่าเดิมราว 2 กก.
นอกจากนี้ยังเพิ่มความมีมิติให้กับมุมมองด้านหน้ารถด้วยโทนสีของช่องดักอากาศ บริเวณชุดกันชนหน้าที่เลือกใช้โทนสีดำด้าน Matt Black รวมถึงตราสัญลักษณ์ ST ที่เลือกใช้พื้นหลังอักษรเคลือบด้วยโทนสีดำ
ด้านภายในห้องโดยสารเต็มเปี่ยมอารมณ์ความสปอร์ตด้วยวัสดุอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ตกแต่งบริเวณรอบชุดกรอบมาตรวัด ตลอดจนในส่วนของรายละเอียดต่างๆ เช่น กรอบช่องแอร์ และคอนโซลหน้า ต่อเนื่องไปจนปุ่มสตาร์ทที่มากับไฟส่องสว่างโทนสีแดงอันโดดเด่น รับกับพวงมาลัยทรง Flat-Bottomed, หัวเกียร์ และเบรกมือ ที่ถูกหุ้มด้วยหนังเดินด้ายสีน้ำเงิน ตลอดจนเบาะนั่งจากแบรนด์ Recaro ที่มากับการปักอักษรระบุรุ่น ST เช่นเดียวกับพรมพื้น และเข็มขัดนิรภัย เพื่อบ่งบอกฐานะเวอร์ชั่นพิเศษ
ส่วนสมรรถนะของ Fiesta ST Edition ยังคงมากับเครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost พิกัด 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharging เสริมด้วยระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแรงดันสูงแบบ High-Pressure Fuel Injection และระบบวาล์วแปรผัน Twin-Independent Variable Cam Timing ที่สร้างพละกำลังสูงสุดได้ถึง 200 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 290 นิวตันเมตร บนรอบต่ำตั้งแต่ 1,600 – 4,000 ต่อนาที สามารถทำความเร็วจาก 0-62 ไมล์/ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.5 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด คือ 143 ไมล์/ชม.
ตามด้วยการปรับเปลี่ยนบุคลิคความสปอร์ตให้ชัดเจนมากขึ้น ผ่านชุดพวงมาลัยแบบเพาเวอร์ไฟฟ้า EPAS ใหม่เป็นอัตราส่วน 12:1 ตลอดจนระบบเบรกที่ได้อัพเกรดขึ้นใหม่ ด้วยการใช้จานเบรกหน้าเป็นขนาด 278 มม. และจานเบรกด้านหลังเป็นขนาด 253 มม.
ทั้งยังมีในเรื่องของการทดสอบ และพัฒนา จากสนาม Nurburgring Nordschleife ในส่วนของระบบช่วงล่างโดย Ford Performance เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว และการควบคุม จากการปรับลดความสูงในด้านหน้าลง 15 มม. และด้านหลังอีกราว 10 มม. รวมถึงการปรับระยะยุบ หรือการ “Bump” ได้ถึง 12 ระดับ พร้อมกับระยะยืด หรือการ “ Rebound” ที่ทำได้ถึง 16 ระดับ เพื่อตอบโจทย์ด้านการขับขี่บนความเร็วสูงได้ดียิ่งขึ้น
เสริมด้วยคุณสมบัติของชุดเฟืองท้าย Quaife Limited-Slip Differential (LSD) สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนด้านหน้า เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง โดยจะทำงานควบคู่กับเทคโนโลยี Torque Vectoring Control ที่อัพเกรดขึ้นใหม่ให้ลดอาการ “หน้าดื้อ” มากขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับตัวช่วยเพิ่มอรรถรสความเร้าใจในการขับขี่ จาก 3 โหมดที่ปรับเปลี่ยนได่ตามความต้องการ ตั้งแต่ Normal, Sport และ Track ตลอดจนการติดตั้งระบบช่วยออกตัว Launch Control มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วยเช่นกัน
CR.NetCarShow.com