ALL NEW HR-V e:HEV 2022 เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ เครื่องยนต์ 1.5 ไฮบริด เปิดจองสิทธิ์ก่อนขายจริง 19 พ.ย.64 คาดราคาเริ่ม 9.89 แสนบาท
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ เจเนอเรชั่น 2 เตรียมเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากวางขายเจเนอเรชั่นแรกมายาวนานกว่า 7 ปี และนับเป็นรถขายดีรุ่นหนึ่งของฮอนด้า มอเตอร์ประเทศไทย การกลับมาในสไตล์สปอร์ตคูเป้ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Everyday AMP UP partner” และจะวางจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ
- รุ่น e:HEV RS ราคาประมาณการต่ำกว่า 1,200,000 บาท
- รุ่น e:HEV EL ราคาประมาณการต่ำกว่า 1,100,000 บาท
- รุ่น e:HEV E ราคาประมาณการต่ำกว่า 990,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ประกอบด้วย สีใหม่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) พร้อมด้วยสีขาวแพลทินัม (มุก) และ สีดำคริสตัล (มุก) ในทุกรุ่นย่อย พิเศษสำหรับสีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน เฉพาะรุ่น e:HEV RS
ดีไซน์ภายนอก รุ่น e:HEV RS
- กระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ RS
- สัญลักษณ์ AMP UP บนกันชนหน้าด้านล่าง
- กันชนหน้า-หลัง พร้อมชายกันกระแทกด้านข้างสีดำแบบสปอร์ตตกแต่งด้วยโครเมียม
- ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
- ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential
- ไฟท้ายแบบ LED Light Strip สี Smoke
- ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว
- หลังคากระจกแบบพาโนรามา (Panoramic Glass Roof)
- สีภายนอก สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน
ดีไซน์ภายนอก รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL
- กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ สีเดียวกับตัวรถ (รุ่น e:HEV EL) และสีดำเงา (รุ่น e:HEV E)
- กันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่
- ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
- ไฟท้ายแบบ LED Light Strip เชื่อมต่อกับไฟเบรกเป็นเส้นแนวยาว
- ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (รุ่น e:HEV EL)
- สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต
- เสาอากาศครีบฉลาม
- ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL)
- โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย
ทุกรุ่นมาพร้อมเบาะหนังดีไซน์ใหม่สีดำ ออกแบบให้โอบรับกับสรีระของผู้นั่งได้ดียิ่งขึ้น ในรุ่น RS มาพร้อมเบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดงแบบสปอร์ต แป้นเบรกและแป้นคันเร่งสไตล์สปอร์ต และ พวงมาลัยสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์ แยกพับแบบ 60:40 ปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ Utility Mode เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ Long Mode เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว และ Tall Mode พับเบาะด้านหลังขึ้นเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
- ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (รุ่น e:HEV EL และ รุ่น e:HEV RS)
- ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
- มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Automatic Air Conditioning) พร้อมระบบ Air Diffusion System ปรับดีไซน์ใหม่
- ช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS)
- อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV RS) ลำโพง 6 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV EL) และ ลำโพง 4 ตำแหน่ง
(รุ่น e:HEV E) - ไฟอ่านหนังสือด้านหลังแบบ LED เปิด-ปิดแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- แผ่นกั้นห้องสัมภาระท้าย (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
- ช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 4 ช่อง ด้านหน้า 2 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) และช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า จำนวน 2 ช่อง (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL)
- พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน
เครื่องยนต์ระบบฟูลไฮบริด e:HEV
HR-V e:HEV จะมาพร้อมกับขุมพลังชนิดเดียว คือ ระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่จะทำงานร่วมกันของ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว มอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว มอบกำลังสูงสุดทั้งระบบได้ถึง 131 แรงม้า ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0–3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร ทำงานคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน
ระบบ e:HEV มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมด
- โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มอบอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง
- โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) โดยระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็วมอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและทรงพลัง
- โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและมีแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่
รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ทุกรุ่นย่อย ยังมาพร้อมกับสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode มีให้เลือก 3 โหมด คือ ECON Mode โหมดการขับขี่แบบประหยัด เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ตามรูปแบบการขับขี่ Normal Mode โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป Sport Mode โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้พร้อมตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้น
ในทุกรุ่นย่อยของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ทำงานร่วมกับกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ คือ
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High–Beam: AHB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low–Speed Follow: ACC with LSF)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
- ระบบ Auto Brake Hold
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ออกห่างจากตัวรถในระยะ 1.5 เมตรขึ้นไป
- ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง
- ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง
- พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi–angle Rearview Camera)
- ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และ ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
- ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS)และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA)
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)
นอกจากนั้น ยังมีระบบฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน มี 8 ฟังก์ชันการใช้งาน ช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง เช่น My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป Wi–Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงาน ให้ความช่วยเหลือขั้นต้น Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน ฯลฯ
- Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
- Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และสั่งการดับเครื่องยนต์
ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน
- Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
- Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบน
แอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งานสามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 เวลา 19.00 น. จากนั้นทำการจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564รับฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Utility Package ประกอบด้วยกระบะใส่ของท้ายรถ มูลค่า 1,100 บาท และแผ่นกันรอยเบาะพนักพิงหลัง มูลค่า 1,700 บาท รวมมูลค่า 2,800 บาท ดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นี้ ผ่านทาง LIVE ถ่ายทอดสดออนไลน์ทาง Facebook Fanpage และ YouTube Channel: Honda Thailand ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป พร้อมทั้งเตรียมสัมผัสกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ได้ที่บูทฮอนด้า (A14) ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 (Motor Expo 2021) ตั้งแต่วันที่ 2 – 12 ธันวาคม 2564 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี