All New Honda BR-V … อย่าเพิ่ง “ตั้งแง่” เรื่อง “ราคา” … ถ้ายังไม่ได้ “สัมผัส”

0

การเปิดตัวของ All New Honda BR-V เจนเนอเรชั่นที่ 2 โดย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อไม่นานที่ผ่านมา คงไม่ต่างอะไรกับสัญญาณแห่งการเปิดศึกรถอเนกประสงค์ MPV ขนาด 7 ที่นั่ง ในเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเผยโฉมของ Toyota Veloz

ซึ่งต่อให้ไม่อยากคิด แต่ทั้งเราเอง และลึกๆ ก็อาจจะรวมถึงผู้บริโภคทั้งประเทศ คงอดคิดไม่ได้ว่าทั้ง 2 โมเดล นั้นแทบจะเรียกว่าเป็นคู่แข่งสายตรง ตั้งแต่ความแข็งแกร่งในเรื่องของแบรนด์ ไปจนถึงฐานะของยนตรกรรมที่มากับสไตล์ของรถอเนกประสงค์ MPV ขนาด 7 ที่นั่งเหมือนกัน … แต่ก่อนที่ใครจะสรุปว่าอะไรดี อะไรไม่ดี เราคิดว่าควรจะรู้จัก All New Honda BR-V เจนเนอเรชั่นที่ 2 ให้ลึกซึ้งซะก่อนว่าเค้ามีอะไรมาให้บ้าง

HONDA BR-V

HONDA BR-V

สำหรับ All New Honda BR-V เจนเนอเรชั่นที่ 2 มากับความโดดเด่น ด้วยการผสมผสานงานดีไซน์สปอร์ตแข็งแกร่งสไตล์ SUV เข้ากับความอเนกประสงค์แบบ MPV มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น E ราคา 915,000 – 921,000 บาท และรุ่นท็อปสุด EL ราคา 973,000 – 977,000 บาท โดยส่วนต่างหลักๆ ที่เห็นนั้นประกอบด้วย โทนสีตัวรถ แล้วก็แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของ “ออพชั่น” … แล้วก็ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่ส่วนใหญ่มักเล่น “ตัวท็อป” เป็นหลัก เพราะงั้นพระเอกของเราจึงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากรุ่นย่อย EL นั่นเอง

ในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงเราคิดว่าหลายคนน่าจะทราบ หรือพอที่จะหาข้อมูลกันได้ เลยคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายให้เปลืองพื้นที่ ฉะนั้นจึงขอข้ามมาที่ประเด็นหลักๆ ก็คือในรุ่นย่อยท็อปสุดอย่าง EL เค้ามีอะไรให้มาบ้าง … เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอก ที่สะดุดตาด้วยชุดกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ในโทนสีดำ Piano Black เข้ากับชุดกันชนหน้า และกันชนหลังดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยสีเงิน ซึ่งรวมไปถึงสเกิร์ตด้านข้างด้วย

HONDA BR-V

ทางด้านไฟหน้า และไฟส่องสว่าง สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน จนถึงไฟท้ายมาเป็นแบบ LED เสริมด้วยสิ่งที่ให้เฉพาะรุ่นย่อย EL ก็คือ ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED, กระจกมองข้างปรับพับไฟฟ้า พร้อมระบบพับเก็บอัตโนมัติ, ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้วดีไซน์ใหม่ ก่อนส่งท้ายด้วยราวหลังคาแบบสปอร์ต และเสาอากาศแบบครีบฉลาม

HONDA BR-V

ส่วนภายในห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ก็สะดุดตาด้วยคอนโซลใหม่ดีไซน์ การเลือกใช้วัสดุตกแต่งแบบ Piano Black จากทั้งหนังแท้ และวัสดุหนังสังเคราะห์ ขาดไม่ได้เลยก็คือ ความอเนกประสงค์สำหรับตอบโจทย์การใช้งาน เพราะนอกจากห้องเก็บสัมภาระท้ายที่ออกแบบให้รองรับได้มากขึ้นกว่าเจเนอเรชั่นที่ผ่านมาแล้ว

เบาะนั่งแถว 2 ก็มากับการมี Legroom กว้างขึ้น สามารถปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ ส่วนพนักพิงก็ปรับเอนได้ 3 ระดับ รวมถึงปรับพับแยกได้แบบ 60:40 ตลอดจนพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) ได้ ขณะที่เบาะนั่งแถว 3 ก็ออกแบบให้มี Legroom กว้างขึ้นเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มากพอจะเอื้ออำนวยให้นั่งสบายๆ ในระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ แต่ถ้าเด็กๆ ก็ยังพอให้ฝึกความอดทนได้ ส่วนถ้าจะให้ดีจริงๆ ก็คงต้องยกให้พนักพิงก็สามารถปรับเอนได้ 2 ระดับ และปรับพับแยกได้แบบ 50:50 เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้เริ่ดมากขึ้น

HONDA BR-V

HONDA BR-V

อีกเรื่องที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสนใจก็คือ “ออพชั่น” ซึ่งในความคิดเราถือว่าเพียงพอแล้วต่อการใช้งาน เช่น ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมระบบปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start), ชุดมาตรวัด พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว, ชุดพวงมาลัยแบบมัลติฟังค์ชั่น ที่มากับแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์

HONDA BR-V

ด้านระบบความบันเทิงไม่ว่าจะตัวเริ่มต้นรุ่น E หรือรุ่นท็อปอย่าง EL ก็จัดมาให้เหมือนๆ กันตั้งแต่ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto, การเชื่อมต่อ Smartphone ไปจนถึงระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto พร้อมทั้งมีช่องเชื่อมต่อ USB มาให้ 2 ตำแหน่ง โดยส่วนต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ “ลำโพง” ซึ่งในรุ่นย่อย EL จะมีมาให้ถึง 6 ตำแหน่ง

ขึ้นชื่อว่ารถครอบครัว “ความปลอดภัย” คือ สิ่งสำคัญ และนอกจากเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ยังคงมีให้อย่างครบถ้วนแล้ว ใน All New Honda BR-V เจนเนอเรชั่นที่ 2 นี้ยังได้เพิ่มเติมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะที่เรียกว่า Honda SENSING ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่า “ดีงาม” กว่าเจนเนอเรชั่นแรกอย่างเห็นได้ชัด

HONDA BR-V

 

HONDA BR-V

เพราะเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING จะทำงานด้วยกล้องมุมกว้างในด้านหน้า เพื่อช่วยตรวจจับรถยนต์ และคนเดินถนน ผ่านฟังค์ชั่นการทำงานหลักๆ ซึ่งประกอบด้วย ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC), ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) รวมไปถึงถุงลมนิรภัยที่มีให้ 6 ตำแหน่ง เฉพาะรุ่น EL

All New Honda BR-V ยังคงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินพิกัด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เสริมแรงด้วยระบบ i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที และและแรงบิดสูงสุดที่ 145 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมการควบคุมโดยระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) และรองรับด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม H-Shape

ในเรื่องของการ Test Drive เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์อย่างมาก เมื่อเทียบกับเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมาจะเห็นว่า All New Honda BR-V เจนเนอเรชั่นที่ 2 ค่อนข้างมีความแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งที่น่าประทับใจคงต้องยกให้กับความสามารถของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ที่ร่วมกันสร้างคาแร็คเตอร์เฉพาะตัวสไตล์ยนตรกรรมจากแบรนด์ฮอนด้า เช่น ความเร้าใจในการขับขี่ที่ช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องสนุก ด้วยอัตราเร่งฉับไว ตั้งแต่ความเร็วต่ำไล่ระดับขึ้นมาถึงความเร็วเดินทางได้ทันใจ

รวมถึงเร่งแซงด้วยตำแหน่งเกียร์ D และการ Kick Down ก็ได้ไม่ขี้เหร่ หรือจะเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ไปโหมดสปอร์ต ตลอดจนกระดิกนิ้วเล่นกับแป้น Paddle Shift เพื่อเพิ่มความเร้าใจอีกนิดก็ไม่ใช่ปัญหา แต่อย่าลืมว่าคาแร็คเตอร์ดังกล่าวอยู่ภายใต้สถานะของยนตรกรรม MPV 7 ที่นั่ง ซึ่งพูดง่ายๆ ว่ามันอาจจะไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วยนัก ถ้าหากคาดหวังอารมณ์การขับแบบสปอร์ต

เนื่องจากองค์ประกอบโดยรวมทั้ง พวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) และช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม H-Shape ได้มีการปรับเซ็ทให้แตกต่างจากเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมา ด้วยการเติมคุณสมบัติความเป็นรถครอบครัวมากขึ้น

เช่น การตอบสนองของพวงมาลัยที่เน้นความเรียบเนียนเบาแรง และควบคุมง่าย ขณะที่ช่วงล่างเองก็มีการปรับให้มีความนุ่มนวล แน่นหนึบ ตลอดจนเป็นมิตรกับทุกตำแหน่งในห้องโดยสาร ภายใต้เสถียรภาพการทรงตัวที่ให้ความมั่นใจได้ดีในแบบฉบับของรถ MPV สำหรับครอบครัว จนกระทั่งเราค้นพบว่าวิธีการขับขี่สไตล์พ่อบ้าน คือ อะไรที่ “ประเสริฐ” สุดๆ

สรุปง่ายๆ ว่าเรื่องของ “สมรรถนะ” ส่วนตัวเราถือว่าเป็นอะไรที่น่าพอใจ แต่ถ้าถามต่อถึงเรื่องของการเปรียบเทียบกับคู่แข่งสายตรงอย่าง Toyota Veloz ล่ะก็ … เรื่องนี้มีหลายอย่างให้ขบคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอยากได้ต้องตัดสินใจ เพราะทั้ง 2 รุ่นต่างก็มีจุดอ่อน จุดแข็งต่างกัน

ประเด็นแรก “ราคา” ซึ่ง All New Honda BR-V กำลังเป็นกระแสเรื่องความ “แรง” แบบสุดโต่งที่ตัวเลข 915,000 – 921,000 บาท ในรุ่นย่อย E และ 973,000 – 977,000 บาท ในรุ่นย่อย EL เมื่อเทียบกับ Toyota Veloz ที่เริ่มต้นด้วยรุ่นย่อย Smart ค่าตัวราวๆ 795,000 บาท และรุ่นท็อป Premium ราคา 875,000 บาท คงเป็นอะไรที่ทำให้ผู้บริโภคต้องกลับมาทำการบ้านกันชุดใหญ่แน่นอน

ส่วนต่อมา คือ เรื่อง “ระบบความปลอดภัย” ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ไม่ทีเด็ดไม่แพ้กัน ด้วยพระเอกอย่างเทคโนโลยี Honda SENSING จาก All New Honda BR-V และ Toyota Safety Sense จาก Toyota Veloz ตลอดจนฟังค์ชั่นอื่นๆ และออพชั่นอื่นๆ ที่ต้องบอกเลยว่า “แลกกันคนละหมัด” ฉะนั้นเราขอแนะนำให้หยิบแคตตาล็อคของทั้ง 2 รุ่นมาพิจารณากันแบบก่อน เพราะเหตุผลง่ายๆ ก็คือ “ความต้องการใช้งานฟังค์ชั่น” ของแต่ละคน “ไม่เหมือนกัน”

เช่น All New Honda BR-V มีระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch มาให้ ขณะที่ Toyota Veloz มีเพียงระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง Blind Spot Monitor แต่ Toyota Veloz ก็แก้เกมส์ด้วยการใส่กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor 360 องศามาให้ ส่วน All New Honda BR-V มีแค่กล้องส่องภาพด้านหลัง

นอกจากนี้ All New Honda BR-V ยังมีการโชว์เหนือกว่า Toyota Veloz ในส่วนของ “ออพชั่น” อำนวยความสะดวกสบายให้เห็นอีกด้วย จากการเป็น MPV หนึ่งเดียวในตลาดที่ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมระบบปรับอากาศ ด้วยกุญแจรีโมท Remote Engine Start มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ซึ่งตัวอย่างข้างต้นนี่แหละครับ คือ เหตุผลที่เราคิดว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจว่าอะไรดี หรือไม่ดี จนกว่าจะหยิบแคตตาล็อคมากางเทียบกัน รวมถึงทดลองขับอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว ด้วยเพราะบุคลิก และอรรถรสในการขับขี่ของทั้ง All New Honda BR-V และ Toyota Veloz เองนั้นก็มีความแตกต่าง ฉะนั้นการทำอย่างที่เราว่า แล้วค่อยเอา “ราคา” เข้ามา คำนวณ ดูแล้วน่าจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของได้ถูกจริต และคุ้มค่าเงินในกระเป๋าได้ดีที่สุดแน่นอน

Comments are closed.