ฟอร์ดเรียกเสียงฮือฮาจากคอรถสปอร์ตทั่วโลกอีกครั้ง ด้วยการเผยโฉม ฟอร์ด มัสแตง รถสปอร์ตเจเนอเรชันที่ 7 ที่โดดเด่นและเร้าใจที่สุด ตั้งแต่แผงหน้าปัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ และเครื่องยนต์เทอร์โบใหม่ที่ก้าวล้ำ ไปจนถึงการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้นแต่ยังคงความคลาสสิคเหนือกาลเวลาแบบฟอร์ด มัสแตง
จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าวว่า “การลงทุนเพื่อพัฒนาฟอร์ด มัสแตง ขึ้นมาอีกเจเนอเรชัน ถือเป็นการแสดงจุดยืนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่คู่แข่งหลายรายกำลังทยอยเลิกผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ฟอร์ดยังมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสื่อสาร การนำเสนอรุ่นย่อยที่แตกต่าง และเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ไฮบริดสำหรับรถยนต์รุ่นขายดี ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้หน่วยงานของ ‘ฟอร์ด บลู’ ควบคู่กับการลงทุน 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2569 เพื่อพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้า”
เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของรถสปอร์ตระดับตำนาน ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ เสียงคำราม และเสน่ห์ดึงดูดใจของรถสปอร์ตคูเป้ที่ขายดีที่สุดระดับโลกถึง 7 ปีซ้อน พร้อมทางเลือกที่หลากหลายสำหรับลูกค้าทั้งในด้านระดับราคาและสมรรถนะ ทั้งดีไซน์แบบเปิดประทุนและคูเป้ เครื่องยนต์ V8 และเทอร์โบ 4 กระบอกสูบ รวมถึงเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
พลิกโฉมการออกแบบภายใน
ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกอันไร้ที่ติ คือห้องโดยสารภายในที่มีแผงหน้าปัดซึ่งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุด และตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่สุดเท่าที่ฟอร์ด มัสแตงเคยมีมา ด้วยจอโค้งที่แสดงผลแบบต่อเนื่อง 2 จอ ปรับเปลี่ยนเพื่อดูข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินรบ แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.4 นิ้ว ปรับการทำงานให้แสดงผลได้ตามโหมดการขับขี่ พร้อมซอฟต์แวร์ทันสมัย ทำให้เปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลแบบอนิเมชันได้หลากหลาย
เครก แซนด์วิก ผู้จัดการทีมออกแบบการทำงานของอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร กล่าวว่า “เราใช้ทุกพิกเซลบนจอภาพให้เป็นประโยชน์ โดยรังสรรค์ให้จอภาพแสดงข้อมูลที่จำเป็นต่อการขับขี่ ในขณะเดียวกันก็เปิดให้ผู้ใช้เลือกปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ ตั้งแต่สีของจอ การเลือกหน้าปัดแสดงผลแบบคลาสสิค หรือการเลือกหน้าจอแสดงผลแบบเรียบง่ายซึ่งจะแสดงเฉพาะข้อมูลพื้นฐานเพื่อเพิ่มสมาธิในการขับขี่”
ผู้ขับขี่ยังเลือกให้แผงควบคุมดิจิทัลแสดงผลได้แบบไร้รอยต่อ เชื่อมการทำงานกับหน้าจอ SYNC4 ขนาด 13.2 นิ้ว ตรงกลางคอนโซล โดยมุมมองของจอภาพจะหันเข้าหาผู้ขับขี่เสมือนค็อกพิตนักบิน
ริคาร์โด การ์เซีย ผู้จัดการทีมออกแบบภายในของฟอร์ด กล่าวว่า “เราเข้าใจความต้องการของลูกค้า มัสแตง ใหม่ เป็นเจเนอเรชันที่มีความดิจิทัลมากที่สุด โดยยังคงแผงหน้าปัดที่แสดงข้อมูลที่จำเป็นในการขับขี่ไว้ครบถ้วน และย้ายปุ่มควบคุมบางส่วน เช่น การปรับระดับเสียง และอุณหภูมิ เข้าไปรวมอยู่บนหน้าปัดดิจิทัล ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้รถทั้งกลุ่มมิลเลนเนียล และเจน Z รวมถึงผู้ใช้ดั้งเดิมของฟอร์ด มัสแตง”
นอกจากจอภาพ พวงมาลัยใหม่แบบครึ่งวงกลมในสไตล์รถแข่ง ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ของคนขับให้กว้างขวางขึ้น สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงคำรามของเครื่องยนต์ ฟอร์ด มัสแตง นำเสนอฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดคือ Remote Rev ที่กดเร่งเครื่องยนต์จากปุ่มบนกุญแจรีโมตของรถได้
รุ่นมาตรฐานมาพร้อมการตกแต่งภายในด้วยวัสดุผ้า และเบาะนั่งที่หุ้มด้วยผ้าทั้งหมด พร้อมออปชันเสริมเป็นเบาะแบบไวนิลหนังกลับ และมีเข็มขัดนิรภัยสีดำ ในขณะที่รุ่นพรีเมียมยกระดับขึ้นโดยใช้วัสดุหุ้มและการตกแต่งตัดขอบทั้งแผงหน้าปัดและบานประตูด้านใน บริเวณคอนโซลกลางยังมีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และมีช่องเสียบ USB อยู่เหนือศีรษะ ซึ่งออกแบบมาให้ใช้กับกล้องวิดีโอติดรถยนต์ และอุปกรณ์อื่นๆ ได้สะดวก โดยสายไฟไม่เกะกะในห้องโดยสาร ใช้ระบบเสียงภายในของ B&O ที่ปรับแต่งเพื่อรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ และมอบประสบการณ์ภายในห้องโดยสารที่เหนือระดับ ด้วยความบันเทิงจาก Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อฟังเพลงที่ชื่นชอบในระหว่างขับรถได้ และทั้ง 2 โปรแกรมยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง SYNC4 ของฟอร์ดอีกด้วย
ดีไซน์ล้ำสมัยแต่คลาสสิคเหนือกาลเวลา พร้อมอิสระในการปรับแต่งได้มากขึ้น
เจเนอเรชันที่ 7 เพิ่มเหลี่ยมมุมที่ทันสมัยมากขึ้นให้กับรถยนต์ระดับตำนาน เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น กระจังหน้าด้านล่างแบบเส้นขนานอันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ด มัสแตง ขับเน้นความกว้างตัวถัง กระจังหน้าได้รับอิทธิพลจากรถรุ่นดั้งเดิมในช่วงทศวรรษที่ 1960 ไฟหน้า 2 แถบ หรือ ‘ไตรบาร์’ สะท้อนความคลาสสิกของมัสแตง ส่วนแนวหลังคาที่โฉบเฉี่ยว และซุ้มล้อที่กว้าง รวมถึงท้ายที่สั้นลง สะท้อนแรงบันดาลใจจากการออกแบบตั้งแต่รุ่นแรก แนวหลังคายังได้รับการปรับปรุงเพื่อให้นักขับรถในสนามแข่งเข้าและออกจากรถได้โดยไม่ต้องถอดหมวกกันน็อค ท้ายรถติดไฟแบบ 3 แถบดีไซน์ใหม่ พร้อมดิฟฟิวเซอร์ที่ออกแบบใหม่เพื่อให้ลู่ลมกว่าเดิม
แต่ละรุ่นยังมีดีไซน์ด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ โดยฟอร์ด มัสแตง GT จะแตกต่างจากรุ่น EcoBoost โดยมีช่องตะแกรงที่ใหญ่และดุดันมากกว่าเพื่อให้อากาศไหลเวียนได้ดีขึ้น สะท้อนถึงขุมพลังและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น ตัวรถยังได้รับการปรับแต่งด้านอากาศพลศาสตร์ให้ดีขึ้น โดยเพิ่มช่องระบายอากาศและลิ้นหน้าที่ออกแบบใหม่
รุ่นเปิดประทุน ให้คุณเปิดหลังคาผ้าใบทั้งผืนเพื่อรับลมได้ง่ายๆ ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว การออกแบบหลังคาให้กะทัดรัดและการใช้ระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระ ยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระในกระโปรงท้าย โดยสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้สูงสุดถึง 2 ใบ
มาพร้อม 12 เฉดสี โดยเป็นสีใหม่ 2 สี คือ สีน้ำเงิน เวเปอร์ บลู และสีเหลือง เยลโล สแปลช พร้อมตกแต่งด้วยลายทางในสีและลวดลายใหม่ นอกจากนี้ ลูกค้ายังเลือกสีจานเบรก Brembo ได้ 3 สี คือ สีดำ สีแดง และสีน้ำเงิน แกร็บเบอร์ บลู รวมทั้งมีล้ออัลลอยรุ่นใหม่ล่าสุดให้เลือก ตั้งแต่ขนาดมาตรฐาน 17 นิ้วในรุ่นพื้นฐาน ไปจนถึงขนาด 19 นิ้วสำหรับ GT ซึ่งมีออปชันเปลี่ยนเป็นล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วได้
ในปี พ.ศ. 2567 ฟอร์ดจะเปิดตัว มัสแตง ดีไซน์ ซีรีส์ เพื่อให้ลูกค้าเลือกปรับแต่งรถได้จากโรงงาน โดยแพคเกจ Bronze Design Series Appearance จะเพิ่มล้ออัลลอยสี “ซีนิสเตอร์ บรอนซ์” พร้อมโลโก้มัสแตงที่เปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์ และยังมีให้เลือกทั้งในรุ่นเครื่องยนต์ EcoBoost และรุ่น GT โดยลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อ Performance Pack ที่เป็นอุปกรณ์เสริมก็ได้
เครื่องยนต์ที่ล้ำสมัยและทรงพลังที่สุดของฟอร์ด มัสแตง
สามสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญข คือรูปลักษณ์ การขับขี่ และเสียงเร่งของเครื่องยนต์ ได้ยกระดับประสบการณ์เหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ที่ก้าวล้ำ มัสแตง GT ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Coyote V8 ขนาด 5.0 ลิตร เจเนอเรชันที่ 4 ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ มัสแตง GT ใหม่ขับแรงม้าลงสู่ถนนได้อย่างราบรื่นที่สุด ด้วยนวัตกรรมการออกแบบการไหลเวียนของอากาศที่ดียิ่งขึ้นเพื่อช่วยลดการสูญเสียกำลังเครื่องยนต์ ฟอร์ดยังคงรถรุ่นเกียร์ธรรมดาเอาไว้โดยจับคู่กับเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร สำหรับลูกค้าที่ต้องการความสนุกในการขับขี่ และยังมีตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ตอบสนองอย่างดีเยี่ยมสำหรับเครื่องยนต์อันทรงพลัง
สำหรับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์ที่ขับสนุกและประหยัดน้ำมัน สามารถเลือกรุ่น EcoBoost ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ฟอร์ด มัสแตง ใหม่ มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดถนนลื่น โหมดแข่งทางตรง (แดรก) โหมดแทร็ก และโหมดสุดท้ายที่บันทึกการตั้งค่าส่วนตัวได้ จากความสามารถในการปรับแต่งรูปแบบส่วนตัวได้ถึง 6 สไตล์
นวัตกรรมใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในเซ็กเมนต์ด้วย ‘ดริฟท์เบรกแบบไฟฟ้า’ ปลดล็อกความสามารถในการดริฟท์ของรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วยการออกแบบเบรกมือที่มีทั้งรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอยแบบเดียวกับเบรกมือแบบดั้งเดิม เพื่อเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับ Performance Pack ในฟอร์ด มัสแตงทุกรุ่น ซึ่งออกแบบมาสำหรับทั้งผู้ขับขี่มือใหม่ที่อยากเรียนรู้และพัฒนาทักษะการดริฟท์รถ และสำหรับผู้ขับขี่ที่ชำนาญด้วยระบบที่พร้อมสำหรับลงสนามแข่ง
เพิ่มเทคโนโลยีช่วยขับขี่ชั้นสูง
ฟอร์ด มัสแตง ใหม่ มาพร้อมกับฟีเจอร์ Co-Pilot360 เจเนอเรชันใหม่ของฟอร์ด ซึ่งรวมถึงระบบจดจำป้ายจำกัดความเร็ว ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะพร้อมฟังก์ชันสำหรับการขับขี่ที่ต้องเบรกบ่อย ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง ระบบช่วยหักเลี้ยวเพื่อเลี่ยงการปะทะ และระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำคัญคือ ระบบเลี่ยงการสะเทือนจากหลุมบนถนน หรือ Active Pothole Mitigation ซึ่งคอยตรวจสอบระบบกันสะเทือน ตัวถัง การบังคับเลี้ยว และการเบรกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับการตอบสนองของระบบกันสะเทือนให้สอดคล้องกัน
เจ้าของรถสามารถสั่งการรถผ่านแอปพลิเคชัน FordPass ได้หลากหลายจากระยะไกลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น การสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ การล็อกและปลดล็อกประตู ตั้งเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบุตำแหน่งของรถ และตรวจดูสภาพและสถานะของรถ นอกจากนี้ FordPass ยังบอกข้อมูลสำคัญอื่นๆ เกี่ยวกับรถ เช่น ระดับน้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเชื้อเพลิง ประวัติการเข้ารับบริการ และข้อมูลการรับประกัน
กำหนดวางจำหน่ายในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2566 และจะประกอบชิ้นส่วนที่โรงงานแฟล็ต ร็อค แอสเซมบลี ในเมืองแฟลตร็อค มลรัฐมิชิแกน